Headlines News :

Terpopuler

Blog Archive

Powered by Blogger.

ทำไมจึงต้องคัดค้าน “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ?! / กร ศิริวัฒโณ


บรรยายกาศการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
       
       โดย...กร ศิริวัฒโณ
       
       ผมเขียนบทกวีสะท้อนปัญหาของบ้านเมืองในขณะนี้มาหลายชิ้นแล้ว วันนี้ผมจะเขียนในรูปแบบของบทความดูบ้าง เผื่อจะเข้าใจง่ายขึ้น
       
       ว่าด้วยเรื่อง “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ที่กำลังดุเดือดเลือดพล่านอยู่ในสภาฯ ตอนนี้นั่นแหละครับ
      
       ผมคิดว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนี้เป็น พ.ร.บ.ที่เต็มไปด้วยความคลุมเครือ และมีเจตนาแอบแฝงไว้ในบั้นปลาย (คล้ายลำไผ่ พอเหลาลงไปเป็นบ้องกัญชานั่นแหละ) ซึ่งให้ประโยชน์แก่คนกลุ่มน้อยที่ทำผิดกฎหมายในหลายรูปแบบ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางความคิดทางการเมือง
       
       ถ้าปล่อยให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านใช้บังคับตามกฎหมายได้ ไม่น่าจะมีผลดีต่อสังคมโดยรวม และประเทศชาติ
      
       ผมจึงไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ผ่านวาระที่ 1 (รับหลักการ) ของสภาฯ ไปแล้ว
      
       ผมมีเหตุผลสำคัญที่คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในครั้งนี้คือ ถ้าปล่อยให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ผ่านสภาฯ มันจะกลายเป็นบรรทัดฐานของสังคมในระดับโครงสร้างทางอำนาจเลยทีเดียว
      
       เพราะเมื่อใคร (ผู้ที่มีอำนาจนั่นแหละ ไม่เกี่ยวกับชาวบ้านชาวช่องตาดำๆ หรอก) ไม่พอใจ หรือเสียผลประโยชน์ (ทั้งทางอำนาจการปกครอง และอำนาจทุนสามานย์) ก็จะใช้อำนาจทางกฎหมู่มาก หรือใช้อำนาจทางการเมือง และกองทัพกดดันรัฐบาล หรือใช้อำนาจปฏิวัติล้มล้างเอาตามอำเภอใจ
       
       สร้างความเสียหายให้รัฐ องค์กรเอกชน และบุคคลได้
      
       เมื่อปฏิวัติ หรือล้มล้างรัฐบาลได้สำเร็จ ก็ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้แก่ตัวเอง และพลพรรคของตัวเอง มันก็วนเวียนเปลี่ยนมืออยู่ในวงจรอุบาทว์ไม่จบสิ้นเสียที
       
       ประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ไม่เกิดขึ้นเสียที
      
       ดังนั้น พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มีความคลุมเครือ และมีเจตนาแอบแฝงฉบับนี้ จึงไม่ควรให้ผ่านออกมาบังคับใช้
      
       ต้องยึดเป็นหลักการไว้ให้มั่นว่า จะต้องไม่นิรโทษกรรมให้คนที่ทำผิดกฎหมาย และคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด!
       
       ต่อไปจะได้ไม่มีทหารคณะใดออกมาทำการปฏิวัติ หรือรัฐประหาร และไม่มีกลุ่มอำนาจทางการเมืองกลุ่มใด พรรคใดนำประชาชนออกมาล้มล้างรัฐบาล (ที่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศ) อีก
      
       จุดยืนที่สำคัญอีกอย่างคือ รูปแบบการปกครองที่เหมาะสมที่สุดของไทยในขณะนี้คือ “การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข”
      
      
       ไม่จำเป็นต้องนำรูปแบบการปกครองของประเทศอื่นมาใช้กับประเทศไทยให้วุ่นวาย เพราะปัญหา และอุปสรรคสำคัญของสังคมไทยมิได้อยู่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์
      
       ปัญหา และอุปสรรคใหญ่ของสังคมไทยที่แท้จริงมันอยู่ที่นักการเมือง นักธุรกิจการเมือง และข้าราชการประจำ มันโกงกินคอร์รัปชันกันอย่างวายร้าย และมโหฬาร (ซึ่งสะท้อนผ่านนโยบายและโครงการใหญ่ๆ หลายโครงการ) ต่างหาก
      
       ถ้าเราสามารถกำจัดปัญหาการคอร์รัปชัน และการอุปถัมภ์ในวงการเมืองและข้าราชการประจำให้หมดไปในทุกระบบ ประเทศไทยก็จะเจริญรุ่งเรืองภายใน 1 ปีนั่นเทียว!
      
       ไม่เชื่อลองทำดู...
      
       หากผิดไปจากนี้ ผมเอาหัวเป็นประกันได้!!

“วิสัยทัศน์สงขลา 2570” ความฝันที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันผลักดัน

โดย...ไม้  เมืองขม
       
       “วิสัยทัศน์สงขลา” เป็นโครงการหนึ่งในหลายๆ โครงการที่เกิดขึ้นสมัยที่ บัญญัติ จันทร์เสนะ อดีต รมช.กระทรวงมหาดไทย อดีตรองปลัดกระ
       

       
       ต่อมา เมื่อมีการจัดตั้ง “มูลนิธิเรารักสงขลาเฉลิมพระเกียรติ” ขึ้นโดยมี บัญญัติ จันทร์เสนะ เป็นประธานมูลนิธิ การผลักดันวิสัยทัศน์สงขลาจึงเป็นไปอย่างเข้มข้น และต่อเนื่อง โดยเริ่มจาก “วิสัยทัศน์สงขลา 2555” (พ.ศ.2540-2555) ก้าวสู่ “วิสัยทัศน์ 2020” (พ.ศ.2556-2563) ก่อนที่จะขยายสู่ “วิสัยทัศน์สงขลา 2570 (พ.ศ.2556-2570) คือ สงขลาโมเดลล่าสุด ที่ผ่านความคิดเห็นของหน่วยงาน และประชาชนทุกภาคส่วน โดยกระบวนการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น ซึ่งดำเนินการโดย 15 ภาคี ประกอบด้วย 5 องค์กรภาควิชาการ 2 องค์กรภาครัฐ 3 องค์กรภาคเอกชน และ 5 องค์กรภาคประชาชน อันได้แก่
       
       มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา หอการค้าจังหวัดสงขลา สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา สมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา สมาคมมูลนิธิพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มูลนิธิสวนประวัติศาสตร์พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มูลนิธิมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มูลนิธิชุมชนสงขลา และมูลนิธิเรารักสงขลาเฉลิมพระเกียรติ
       

       
       สำหรับวิสัยทัศน์สงขลานั้น มีการแบ่งพื้นที่ของจังหวัดออกเป็น 4 เขตด้วยกันคือ 1.พื้นที่คาบสมุทรสทิงพระ (อ.ระโนด อ.กระแสสินธ์ อ.สทิงพระ และ อ.สิงหนคร) 2.พื้นที่เศรษฐกิจ คือ อ.เมือง อ.หาดใหญ่ และ อ.สะเดา 3.พื้นที่การพัฒนา คือ อ.นาหม่อม อ.บางกล่ำ อ.รัตภูมิ อ.ควนเนียง และ อ.คลองหอยโข่ง และ 5 พื้นที่ความมั่นคง คือ อ.จะนะ อ.เทพา อ.สะบ้าย้อย และ อ.นาทวี
       

       
       โดยมี 1) วิสัยทัศน์ ได้แก่ “สงขลา เมืองแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สังคมเป็นสุข สิ่งแวดล้อมยั่งยืน” 2) พันธกิจ ประกอบด้วย มุ่งพัฒนาความเติบโตทางเศรษฐกิจ บนพื้นฐานของการสร้างสรรค์ มุ่งการเพิ่มรายได้แก่ประชากร มูลค่าทางการค้า และการลงทุน โดยให้รายได้ประชากรอยู่ในระดับ 1 ใน 5 ของประเทศในปี 2570, พัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตบนวิถีความพอเพียง ครอบครัวอบอุ่น สังคมเอื้ออาทร สมานฉันท์ เป็นธรรม และอยู่เย็นเป็นสุข สู่การเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมต้นแบบ, อนุรักษ์และฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อม บนฐานทรัพยากรธรรมชาติที่สมดุลและยั่งยืน โดยมุ่งต่อการหยุดทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสิ้นเชิงภายในปี 2570 และสร้างความมั่นคง และสงบเรียบร้อยที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและสันติสุขของสังคม โดยผนึกความร่วมมือกับทุกภาคส่วนและทุกระดับ เพื่อยุติสถานการณ์การก่อเหตุร้ายอย่างถาวรภายในปี 2570
       

       
       ประเด็นยุทธศาสตร์ มีทั้งสิ้น 17 ยุทธศาสตร์ด้วยกัน เช่น พัฒนาภาคการเกษตร, ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์, ส่งเสริมพัฒนาการค้าชายแดน, ส่งเสริมกระบวนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีอาเซียน, พัฒนาองค์ความรู้ ข้อมูล, จัดทำแผนแม่บทในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, รณรงค์สร้างค่านิยม, พัฒนาชุมชนเข้มแข็ง, พัฒนาขบวนการภาครัฐ และอื่นๆ โดยมีโครงการสำคัญๆ ที่ต้องร่วมกันผลักดันไปสู่ความสำเร็จดังนี้
       

       
       1.ส่งเสริมพัฒนาอาชีพการทำสวนยางแบบครบวงจร เพื่อให้เป็น “ซิตี้ รับเบอร์” ของประเทศ และภูมิภาคอาเซียน 2.ส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และวิสาหกิจชุมชน 3.ส่งเสริมกระบวนการผลิตอาหารทะเล ปศุสัตว์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นศูนย์กลางของภาคใต้ 4.พัฒนาเครือข่ายขนส่งทั้งทางบก น้ำ และอากาศ เพื่อเชื่อมโยงจังหวัดภาคใต้กับประชาคมอาเซียน 5.สร้างท่าเรือน้ำลึกแห่งที่ 2 6.สร้างด่านพรมแดนสะเดาแห่งที่ 2 7.พัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยว 8.แก้ไขปัญหาน้ำท่วมตัวเมืองหาดใหญ่อย่างถาวร
       
       9. ผลักดันส่งขลาให้เป็น “ฮับ” แห่งการศึกษา และเป็น “ฮับ” ของการรักษาพยาบาล 10.ให้สงขลาเป็นเมือง 4 ภาษาคือ ไทย อังกฤษ จีน และมาลายู 11.ฟื้นฟูทะเลสาบสงขลาอย่างยั่งยืน 12.สร้างเอกลักษณ์ค่านิยมให้ “สังคมเป็นสุข” 13.สร้างเครือข่ายประชาชนเฝ้าระวัง อนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติ และ 14.ร่วมกับ ศอ.บต.ยุติการก่อเหตุร้าย ป้องปรามยาเสพติด อบายมุข และสินค้าหนีภาษีอื่นๆ สร้างความมั่นคงทางอาหาร และพัฒนาพลังทดแทนที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน
       

       
       ส่วนเป้าหมายในเชิงการบริการของวิสัยทัศน์สงขลา 2570 นั้น มีการวางเป้าหมายว่า เมื่อสิ้นปี 2570 มีการมุ่งหวังต่อการเกิดขึ้น คงอยู่ และสิ้นไปในประเด็นสำคัญ 7 ประการด้วยกัน คือ 1.สามารถยกระดับรายได้ประชาชนในอยู่ในระดับ 1-5 ของประเทศ 2.มีระบบบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ และปัญหาอุทกภัยเมืองหาดใหญ่สามารถยุติลงได้อย่างถาวร 3.ชาวสงขลาสามารถพูดได้ 4 ภาษา
       
       4.มีแผนแม่ทบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แบบองค์รวม ระยะยาว ครอบคลุมทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน เครือข่ายภาคประชาสังคม นำไปสู่ภาวะชุมชนเข้มแข็ง และเป็นสุข 5.ทะเลสาบสงขลาได้รับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และจัดระเบียบเครื่องมือประมงที่สังคมยอมรับได้ 6.การทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยุติลงอย่างสิ้นเชิง และ 7.ยุติสถานการณ์การก่อเหตุร้ายอย่างถาวร
       

       
       นอกจากนี้ คณะกรรมการกำหนดวิสัยทัศน์สงขลา 2570 ยังมีความเห็นให้กำหนดวันหนึ่งวันใดในรอบปี เพื่อให้เป็น “วันสงขลา” เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในจังหวัดสงขลาเห็นถึงความสำคัญ และรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ที่แสดงออกถึงความรัก สามัคคี เป็นหนึ่งเดียว เพื่อที่จะได้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์สงขลา 2570 ไปสู่ความสำเร็จ
       

       
       และที่ผ่านมา มูลนิธิเรารักสงขลาเฉลิมพระเกียรติ ยังได้ทำโครงการ “คนดีศรีสงขลา” โดยการมอบโล่เชิดชูเกียรติให้แก่บุคคลต้นแบบสาขาอาชีพต่างๆ และเยาวชนที่เป็นผู้กระทำความดีและเป็นคนดี เพื่อให้สังคมได้เห็นคุณค่า และเป็นแบบอย่างของสังคม
       

       
       ทั้งนี้ มูลนิธิเรารักสงขลาเฉลิมพระเกียรติ ต้องการเรียกร้องให้ชาวจังหวัดสงขลาทุกภาคส่วน ร่วมกันผลักดันให้ “วิสัยทัศน์สงขลา 2570” ประสบความสำเร็จสู่ความเป็นจริง มิใช่เป็นเพียงข้อความบนแผ่นกระดาษที่เป็นแค่เพียง “ความฝัน” เท่านั้น
       
       เพราะความเป็นไปได้ของ “วิสัยทัศน์สงขลา 2570” ต้องมาจากการร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมมือของประชาชนทุกคนในการผลักดันตามคำกลอนที่ว่า “สงขลาต้องเป็นที่หนึ่ง ถ้ายังไม่ถึง เราผลักเราดัน ใครคิดก็คิด ใครฝันก็ฝัน คนสงขลาเท่านั้น ที่ทำฝันให้เป็นจริง”




ทรวงและ ผอ.ศอ.บต. ตอนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ซึ่งได้ผลักดันให้เกิดการวางแผนในการพัฒนาจังหวัดสงขลาในอนาคต โดยการร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษา องค์กรภาครัฐ และเอกชนในจังหวัดสงขลา ร่วมกันกำหนดเป็นวิสัยทัศน์ขึ้น

29 ส.ค.นี้ ไดอาน่า หาดใหญ่ จัดนัดพบแรงงาน ตำแหน่งว่างกว่า 1,500 อัตรา

 ศูนย์การค้าไดอาน่า คอมเพล็กซ์ ขอเชิญร่วมงานวันนัดพบแรงงานย่อย สมัครงาน พร้อมสัมภาษณ์งานกว่า 30 บริษัทชั้นนำ ตำแหน่งงานว่างกว่า 1,500 อัตรา ในวันพฤหัสบดีที่ 29 ส.ค.56 เวลา 10.00-16.00 น. บริเวณชั้นใต้ดิน ไดอาน่า หาดใหญ่



Levi's ลดทั้งเคาน์เตอร์ 30% 25 ส.ค.วันเดียวเท่านั้น!

ยีนส์แบรนด์ Levi's จัดรายการพิเศษ ลดทั้งเคาน์เตอร์ 30%
       ชอปสินค้าครบ 3,000 บาท รับฟรี! กระเป๋าผ้าลดโลกร้อนจาก Levi's
      
       ในวันที่ 25 สิงหาคม 25556 วันเดียวเท่านั้น!!!
      
       ที่ชั้น 3 แผนกยีนส์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล หาดใหญ่


“สามคลอง สองเมือง” ชุมชนวิถีพุทธ ตลาดริมน้ำคลองแดน

    เที่ยวคลองแดน เดินตลาดริมน้ำ ชมบ้านหนังสืออัจฉริยะ ที่เต็มไปของเก่าโบราณ รุ่นคุณทวด ที่คนสมัยใหม่อาจจะไม่รู้จัก และยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรม นำทรัพยากรธรรมชาติมาพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว สัมผัสวีถีชุมชนชนบท ชาร์ตแบตเติมพลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอด อบอุ่นกับการต้อนรับและรอยยิ้มของชาวชุมชน

       
       "เที่ยวท่องล่องใต้" ภูมิใจนำเสนอ กลิ่นอายของวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เป็นปึกแผ่นของ “ชุมชนวิถีพุทธ” ตลาดริมน้ำคลองแดน ด้วยระบบนิเวศน์ที่ธรรมชาติได้สันสร้าง ประกอบกับผู้คนที่น่ารัก อยู่กันแบบพอเพียง ร่วมอนุรักษ์ของโบราณให้คนรุ่นหลังได้เชยชม เป็นเรื่องราวของชาวชุมชนใน 2 จังหวัดของภาคใต้ ที่มีเพียงแม่น้ำเล็กๆ เป็นเขตแดนตามธรรมชาติ ระหว่างชุมชน คลองแดนเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่สุดเขตจังหวัดสงขลา ในเขตตำบลคลองแดน อำเภอระโนด กับตำบลรามแก้ว อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช มีอะไรมากมายชวนให้หลงใหล

       พิกัด คลองแดน
      
       ชุมชนคลองแดน ตั้งอยู่ที่ทางทิศเหนือของอำเภอเมืองสงขลา ประมาณ 100 กิโลเมตร (กม. 15 จากแยกบ้านรับแพรก - ระโนด) และมีระยะทางจากอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชไปทางทิศใต้ประมาณ 100 กิโลเมตรเช่นเดียวกัน จึงกล่าวได้ว่าชุมชนคลองแดน มีที่ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางระหว่างจังหวัดสงขลากับ จังหวัดนครศรีธรรมราช

นายสายัณห์ ชลสาคร หรือ ครูสายัณห์
       
       เมื่อเราไปถึง ได้เจอกับ “ครูสายัณห์” เจ้าถิ่นให้การต้อนรับอย่างดี ก่อนที่จะเริ่มพูดคุยกัน และพาเดินชม แหล่งเก็บของโบราณ หรือเรียกได้ว่าเป็น พิพิธภัณฑ์ เลยก็ว่าได้ นายสายัณห์ ชลสาคร หรือครูสายัณห์ เป็นข้าราชการบำนาญ อดีตข้าราชครู ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ คือ ตำแหน่ง ผอ.โรงเรียนวัดฉิมหลา อ.หัวไทร

       
       ครูสายัณห์ เล่าว่า สมัยก่อนตลาดที่ชุมชนคลองแดนเคยเป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองมาก มีร้านทอง ร้านตัดเสื้อผ้า ร้านขายของชำ ร้านยา ร้านตัดผม มีโรงสี นับได้ว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำเลยทีเดียว สมรภูมิเหมาะกับการค้าขาย คนจีนก็ฉลาดได้ชักชวนญาติพี่น้องมาอาศัยอยู่ที่นี่เพิ่มมากขึ้น มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่กันอย่างหนาแน่นตลอดแนวริมน้ำคลองแดน คลองระโนด คลองชะอวดและคลองปากพนัง จนกระทั่งเมื่อทางหลวงสาย 408 เริ่มใช้งาน ทำให้ความนิยมในการใช้การสัญจรทางน้ำลดลง คนเริ่มอพยพออกจากพื้นที่ จนปัจจุบันไม่มีการใช้การสัญจรทางน้ำอีกเลย

ตะเกียงน้ำมันก๊าซ อายุเกือบร้อยปี
      

       
       จากนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2552 เจ้าอาวาสวัดคลองแดน มีความคิดที่อยากจะพัฒนาวัดให้มีความเจริญเหมือนแต่เก่าก่อน เลยได้ไปหาผู้ที่มีความรู้ด้านสถาปัตยกรรม ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ดร.จเร สุวรรณชาติ จึงได้ทำการวิจัยและพัฒนาวัดให้เจริญขึ้นมาได้พอสมควร และได้มาสัมผัสกับชุมชนในตลาดริมน้ำคลองแดนซึ่งเป็นตลาดที่ทรุดโทรมมาก แต่ยังคงมีร่องรอย และได้สอบถามถึงชาวได้ จึงได้ทราบถึงความรุ่งเรื่องในสมัยก่อน จึงอยากจะปรับปรุงพัฒนาให้เหมือนแต่ก่อน ก็ได้ประสานไปยังการเคหะแห่งชาติ เพื่อจะของบมาช่วยสนับสนุน จึงได้เชิญชวนชาวชุมชนคลองแดนได้ไปศึกษาดูงานที่ ตลาดน้ำอัมพวา และสามชุก

ครูสายัณห์ พาชมห้องนอนที่โฮมสเตย์
       
       “ครูสายัณห์” เป็นหนึ่งในชาวชุมชนที่ได้ไปร่วมงานครั้งนั้นด้วย เมื่อไปเห็นก็มีกำลังใจที่จะกลับมาพัฒนาบ้านเกิด โดยแบ่งหน้าที่กันตามความถนัด ครูสายัณห์ ได้รับหน้าที่ในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย ส่วนคนอื่นๆ ก็ดูเรื่องด้านการตลาด การบริหาร ครูสายัณห์ กลับมาพัฒนาบ้านของตนเอง บ้านครูสายัณห์ จึงเป็นโฮมสเตย์ หลังแรก ของชุมชนคลองแดน จนปัจจุบันมีโฮมสเตย์ รองรับนักท่องเที่ยวถึง 8 หลัง และเกิดเป็นตลาดริมน้ำคลองแดนที่คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ซึ่งวัฒนธรรม ทำให้ชาวชุมชนมีรายได้

       
       ส่วนที่มาของ สโลแกนที่ว่า “สามคลอง สองเมือง” มีที่มาว่า มีลำคลองธรรมชาติ 3 ลำคลองที่มาบรรจบกัน คือ ลำคลองสายแรกไหลสู่ อ.หัวไทร และ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ลงไปทางใต้ เป็นลำคลองไหลสู่ อ.ระโนด จ.สงขลา จนไหลสู่ทะเลสาบสงขลา ส่วนลำคลองทางทิศตะวันตกไหลสู่ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช

ของใช้เก่าเก็บในห้องหนังสืออัจฉริยะ ของครูสายัณห์
       
       ก่อนจะไปเดินชมตลาดริมน้ำ เราขอแวะเข้าไปชม “ครูสายัณห์ โฮมสเตย์” กันก่อน ซึ่งมีอายุกว่า 100 ปี ตกทอดมาถึง 4 ชั่วอายุคน โฮมสเตย์ หลังนี้เป็นมากกว่าบ้านพัก หรือที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ ครูสายัณห์ ได้เก็บรวบรวมของเก่า ของโบราณ สมัยปู่ย่าตายาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของใช้ในชีวิตประจำวันของคนสมัยก่อน ให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจได้ชมอีกด้วย เรียกได้ว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ ย่อมๆ เลยทีเดียว ที่สำคัญเมื่อเข้าไป เราจะไม่เห็นมีข้อความเขียนคำอธิบาย เพราะครูสายัณห์ บอกว่า อยากจะเป็นคนถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ที่เข้ามาชมด้วยตัวเอง ไม่เพียงเท่านั้น บ้านหลังนี้ยังเป็น “บ้านหนังสืออัจฉริยะ” อีกด้วย

วงดนตรีไทยแสดงสด
       
       ออกจากบ้าน ครูสายัณห์ ไปเดินชมตลาด สิ่งที่ประทับใจคือ สะพานไม้ ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ บรรยากาศตอนเย็นช่างสุขใจ เดินไปตามแนวสะพาน สักประมาณ 100 เมตร ถึงกับตะลึง! เสียงที่ได้ยินเป็นเพลงบรรเลงดนตรีไทยมันไม่ใช่เสียงจากแผ่นเสียง แต่เป็นการเล่นดนตรีสดๆ โดยมีลานที่เชื่อมกับสะพานทางเดิน มีคุณลุงประมาณ 8 ท่าน นั่งเล่นดนตรีไทย ทั้งระนาด ปี่ ซอ กลอง ไวโอลิน บรรเลงให้ผู้มาเยือนฟังกันแบบสดๆ นับเป็นอีกหนึ่งอย่างที่หาดูได้ยาก และทำให้เราหลงใหลคลองแดนเพิ่มขึ้นอีก

      
โชว์รำมโนราห์ โดยลูกหลานคลองแดน
       
       ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า มีโชว์รำมโนราห์ บนสะพานสองฝั่ง เป็นมโนราห์ตัวน้อย ที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้นเอง ร่ายรำได้อ่อนช้อยงดงาม มีเสียงปรบมือจากนักท่องเที่ยวอย่างล้นหลามเป็นกำลังใจให้กับมโนราห์ตัวน้อย

             
       เมื่อพลบค่ำ แสงไฟจากร้านรวงต่างๆ ที่ตั้งเป็นแนวอยู่ริมคลองแดน สวยงามมาก มีโต๊ะ ปูเสื่อ ให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มด่ำบรรยากาศชายคลอง พร้อมด้วยมีอาหารให้เลือกสรรมากมาย เป็นอาหารและขนมพื้นเมือง เช่น ข้าวยำ ขนมจีน เต้าคั่ว โจ๊กข้าวสังข์หยด และขนมแปลกๆ อีกหลากหลาย เลือกรับประทานได้ตามใจชอบ แล้วนำมานั่งทานที่ริมคลอง คุยกันไปทานกันไป ได้บรรยากาศพักผ่อนที่สดชื่น ปอดสดใส สูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มที่

      

       
       สิ่งที่ชาวคลองแดนได้รับหลังจากทุกคนร่วมร่วมใจกันพัฒนา ปรับปรุงตลาด ให้มีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง อย่างแรกคือ การได้ปรับปรุงบ้านเรือนของตัวเองให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น โดยการยังคงรักษาสถาปัตยกรรมดั่งเดิมเอาไว้ ส่วนด้านรายได้ ทุกครัวเรือนมีรายได้เสริม พร้อมทั้งยังได้มอบความสุขให้กับนักท่องเที่ยว จากการที่ได้มาเที่ยวที่นี่ ได้มาสัมผัสการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เชิงวัฒนธรรม แบบวิถีพุทธ “เมื่อนักท่องเที่ยวมีความสุข ชาวคลองแดนก็มีความสุขด้วย” นี่คือสิ่งที่ชาวคลองแดนภาคภูมิใจ

       
       สำหรับตลาดริมน้ำคลองแดน มีเฉพาะวันเสาร์ เท่านั้น ตลาดเริ่มเปิดตั้งแต่เวลา 15.30 น. จนถึงประมาณ 21.00 น. แต่ในส่วนของที่พัก หรือโฮมสเตย์ มีให้บริการทุกวัน เพียงราคาท่านละ 200 บาท ต่อคืน คุ้มเกินคุ้มสำหรับการพักผ่อนทั้งด้านร่างกายและจิตใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณเกรียงไกร อันตพงศ์ ประธานชุมชน โทร. 089-2315281 คุณอภิชาต เหมือนทอง โทร.086-9582776 หรือ “ครูสายัณห์” 081-8967352 (สายัณห์โฮมสเตย์)








วัดดอนแย้ สถาปัตยกรรมจีนอันทรงคุณค่า เก่าแก่กว่า 260 ปี ตั้งอยู่ที่ถนนไทรบุรี อ.เมือง จ.สงขลา


       โบราณสถานอันทรงคุณค่าอีกหนึ่งแห่งของเมืองสงขลา “พระอุโบสถ รวมทั้งกุฏิเจ้าอาวาสวัดดอนแย้” สถาปัตยกรรมจีนที่เด่นตระหง่านอยู่ในวัดไทยอย่างลงตัว อายุเก่าแก่กว่า 260 ปี สร้างเมื่อ พ.ศ.2296 สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา

       
       วัดดอนแย้ ตั้งอยู่ที่ถนนไทรบุรี อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งเป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ของ จ.สงขลา และมีโบราณสถานที่ทรงคุณค่าอยู่คู่กับวัดมากว่า 260 ปี คือ พระอุโบสถ และกุฏิเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมจีน หรือที่เรียกว่าทรงเก๋งจีน แห่งเดียวในประเทศไทย
      
      


      

       
       วัดดอนแย้ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างขึ้นตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.2203 สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ.2213 มีพระอุโบสถเก่าแก่ สร้างเมื่อ พ.ศ.2296 เป็นสถาปัตยกรรมจีน หรือแบบเก๋งจีน มีกำแพงโดยรอบ

       
       โครงสร้างพระอุโบสถเป็นคอนกรีตผสมไม้ ขนาดยาว 13.80 เมตร กว้าง 8 .00 เมตร ตัวอาคารมีลักษณะแบบสถาปัตยกรรมจีนประเพณี กรอบซุ้มช่องหน้าต่างทำเป็นอาคารจีนจำลอง ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปปางมารวิชัย 3 องค์ สภาพอาคารอยู่ในสภาพดี ยังคงใช้ประกอบพิธีสังฆกรรมตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้

       
       นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีกุฏิเจ้าอาวาสที่เป็นสถาปัตยกรรมจีนอีกหนึ่งหลัง ซึ่งสร้างขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน แม้ว่าภายหลังจะมีการต่อเติม แต่ก็ยังยึดรูปแบบศิลปะจีนที่สวยงามเอาไว้

      

พระครูสุตกิจวิบูล เจ้าอาวาสวัดดอนแย้สงขลา


       
       พระครูสุตกิจวิบูล เจ้าอาวาสวัดดอนแย้สงขลา และเจ้าคณะตำบลบ่อยางเขต 2 เปิดเผยว่า ทางวัดพยายามรักษาพระอุโบสถ และกุฏิเจ้าอาวาสเอาไว้ โดยตั้งแต่สร้างขึ้นมีการบูรณะเพียงแค่ 1-2 ครั้ง เพื่อให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรง แต่ยังคงยึดโครงสร้าง และสถาปัตยกรรมแบบเดิมเอาไว้ทั้งหมด เนื่องจากเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ที่หาชมได้ยาก

       
       ภาพ/เรื่อง - ธวัช หลำเบ็ญส๊ะ

ชวนชม “ทุ่งปอเทืองบานที่รำแดง” อ.สิงหนคร จ.สงขลา

       องค์การบริหารส่วนตำบลรำแดง        
                
       องค์การบริหารส่วนตำบลรำแดง อ.สิงหนคร จ.สงขลา ปลูกต้นปอเทืองในแปลงนา 300 ไร่ บริเวณพื้นที่บ้านหน้าแค หมู่ที่ 6 ต.รำแดง เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากประสบความสำเร็จ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร “ทุ่งปอเทืองบานที่รำแดง” นอกเหนือจากเป็นปุ๋ยสดบำรุงดินตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง

      
 
       โดยขณะนี้ ทุ่งปอเทืองทั้ง 300 ไร่ กำลังออกดอกบานสะพรั่งเหลืองอร่ามเต็มท้องทุ่ง และทางองค์การบริหารส่วนตำบลรำแดง จะเปิดให้นักท่องเที่ยว และช่างภาพได้เข้าชมความสวยงาม และเก็บภาพความประทับใจเป็นที่ระลึกในงาน “วันทุ่งปอเทืองบานที่รำแดง ครั้งที่ 2” ระหว่างวันที่ 25-28 กรกฎาคม นี้ โดยได้ตกแต่งสถานที่ทั้งจุดชมวิวทุ่งปอเทือง และจุดสำหรับถ่ายภาพท่ามกลางทิวทัศน์ และธรรมชาติของทุ่งปอเทือง และทุ่งตาลโตนดที่งดงาม ก่อนที่ต้นปอเทืองจะโรยรา และไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน
      

       
       นายอุดม ทักขระ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลรำแดง เปิดเผยว่า หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว ทางองค์การบริหารส่วนตำบลรำแดง ได้ทดลองปลูกต้นปอเทืองในท้องทุ่งที่ว่างเว้นจากการทำนา เพื่อเป็นปุ๋ยพืชสด และต่อยอดพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร “ทุ่งปอเทืองบานที่รำแดง”จนเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นจุดขายใหม่ของ จ.สงขลา ขณะนี้ ต้นปอเทือง รุ่นที่ 2 มีอายุได้ประมาณ 50-56 วัน และเริ่มทยอยออกดอกเหลืองอร่ามเต็มพื้นที่ในแปลงนา ทั้ง 300 ไร่ ทั้งสองฟากฝั่งของถนนของตำบลรำแดง จึงขอเชิญประชาชน และนักท่องเที่ยวเข้าชมความสวยงามซึ่งจะมีพิธีเปิดในวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ โดยนายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการ จ.สงขลา เป็นประธาน

      

       
       ภาพ/เรื่อง - ธวัช หลำเบ็ญส๊ะ


อ.สิงหนคร จ.สงขลา ปลูกต้นปอเทืองในแปลงนา 300 ไร่ เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากประสบความสำเร็จจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร “ทุ่งปอเทืองบานที่รำแดง” ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งเต็มทุ่งนา และเป็นจุดขายใหม่ด้านการท่องเที่ยวของ จ.สงขลา โดยจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมความงดงามตั้งแต่วันที่ 25-28 กรกฎาคมนี้ ก่อนที่จะแปรสภาพเป็นปุ๋ยสดบำรุงดินตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง

ฝรั่งสู้ชีวิตขับซาเล้งเร่ขาย BBQ ซอสอร่อยเหาะจากอังกฤษ หมู ไก่ ไม้ละ 20

       ฝรั่งชาวอังกฤษสู้ชีวิต ขับซาเล้งเร่ขายบาร์บีคิวเป็นรายได้เสริมจากการเป็นครูสอนภาษาที่ไม่พอใช้จ่ายเลี้ยงครอบครัว 5 ชีวิต ครูอารี ฝรั่งบาร์บีคิว หมู ไก่ ไม้ละ 20 บาท ซอสอร่อยจากอังกฤษ ด้วยคอนเซ็ปต์ “ฝรั่งหัวใจไทย เรารักเมืองไทย”
       
       Mr.Alistair Iain Muir (อาลิสเตย์ เอียน มิเออร์) อายุ 46 ปี ชาวอังกฤษ หรือครูอารี ครูสอนภาษาอังกฤษโรงเรียนพาณิชยการหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ ฝรั่งหัวใจไทยสู้ชีวิต ใช้เวลาว่างจากการสอนหนังสือ ขับรถซาเล้งออกเร่ขายบาร์บีคิวใน อ.หาดใหญ่ เพื่อหารายได้เสริมมาเลี้ยงดูคนในครอบครัวรวม 5 ชีวิต เนื่องจากเงินเดือนจากการเป็นครูไม่พอต่อค่าใช้จ่าย
       
       โดยในเวลาประมาณบ่าย 2 โมงของทุกวัน หลังจากที่ครูอารี เสร็จจากการสอนหนังสือ และในช่วงปิดเทอม จะขับรถซาเล้งเขียนป้ายสโลแกนข้างรถว่า “ครูอารี ฝรั่งบาร์บีคิว หมู ไก่ ไม้ละ 20 ซอสอร่อยจากอังกฤษ ฝรั่งหัวใจไทย เรารักเมืองไทย” ออกจากบ้านเช่าในซอย 4 ถนนปุณณกัณฑ์ ตรงข้ามมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.หาดใหญ่) ไปเร่ขายบาร์บีบีคิวตามจุดต่างๆ ในตัวเมืองหาดใหญ่ โดยจุดแรกขายที่หน้าหาดใหญ่เบเกอรี่เซ็นเตอร์ ย่านถนนรัถการ จุดที่ 2 ตรงข้ามโรงพยาบาลหาดใหญ่ และจุดที่ 3 ที่ตลาดศรีตรัง ข้างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.หาดใหญ่) ซึ่งแต่ละวันจะขายจนหมด และกลับเข้าบ้านในเวลา 2-3 ทุ่ม
   
       ซึ่งจากการติดตามไปดูการขายบาร์บีคิวของครูอารี ของผู้สื่อข่าวพบว่า ได้รับความนิยมจากลูกค้าค่อนข้างดี ทันทีที่นำรถไปจอดก็มีลูกค้าทั้งขาประจำ และขาจรมาอุดหนุนอย่างต่อเนื่อง และต่างชอบในรสชาติบาร์บีคิวของครูอารี โดยเฉพาะซอสที่เป็นต้นตำรับของประเทศอังกฤษ ที่สำคัญ ครูอารียิ้มแย้มแจ่มใส และทักทายหยอกล้อกับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง โดยประโยคเด็ดที่ติดปาก และอ้อนลูกค้าคือ “ขายให้หมดไม่งั้นเมียจะไม่ให้เข้าบ้าน” ซึ่งเรียกรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะจากลูกค้าเป็นอย่างดี
       
       ครูอารี บอกว่า เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยประมาณ 4 ปี และแต่งงานกับสาวไทย คือ นางวรัตรา พุ่มมาลา อายุ 34 ปี ชาว อ.ปากช่อง และมีลูกด้วยกันหนึ่งคน จากเดิมสอนภาษาอยู่ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมากว่า 3 ปี และเริ่มขายบาร์บีคิว โดยนำรถเข็นออกเร่ขายเป็นรายได้เสริม และได้ย้ายมาสอนภาษาอยู่ที่ อ.หาดใหญ่ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และยังคงยึดอาชีพเร่ขายบาร์บีคิวเพื่อหารายได้เสริมแต่เปลี่ยนเป็นรถจักรยานยนต์สามล้อพ่วงข้าง หรือซาเล้งแทน
       
       เนื่องจากต้องเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวถึง 5 คน ทั้งตัวเอง ภรรยา ลูก 2 คน ซึ่งเป็นลูกของตัวเองกับภรรยาคนไทย และลูกติดจากภรรยา รวมทั้งหลานสาวของภรรยา ซึ่งเงินเดือนจากการสอนภาษาไม่พอเป็นค่าใช้จ่าย และเลี้ยงคนในบ้าน จึงต้องหารายได้เสริม โดยแต่ละวันจะทำบาร์บีคิวไปขายวันละประมาณ 200 ไม้ มีรายได้จากการขายที่ยังไม่หักต้นทุนประมาณวันละ 3,000 บาท นอกจากนี้ ต้องการเก็บเงินบางส่วนเป็นค่าตั๋วเครื่องบินพาครอบครัวกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ประเทศอังกฤษ เนื่องจากมีราคาแพงคนละ 60,000 บาท



   
       ครูอารี บอกอีกว่า ตัวเองรักเมืองไทย และจะขอใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยกับภรรยา และลูกๆ และหากมีโอกาสก็จะพาครอบครัวกลับไปเยี่ยมบ้านที่ประเทศอังกฤษบ้าง เพราะไม่ได้กลับมาหลายปี ส่วนชีวิตในวันนี้ พออยู่พอกิน และมีความสุขกับครอบครัว ที่สำคัญคนไทยเป็นมิตร และน่ารัก

       
       ภาพ/เรื่อง โดย ธวัช หลำเบ็ญส๊ะ

หาของกินหรอยๆ ที่ตลาดริมน้ำคลองแดน อ.ระโนด จ.สงขลา



"จาโก๊ย" คือ ปาท่องโก๋
       เพลิดเพลินกับธรรมชาติ และบรรยากาศย้อนยุคที่ “ตลาดริมน้ำคลองแดน” กันแล้วในคอลัมน์ “เที่ยวท่องล่องใต้” ก็อดใจไม่ไหวที่จะเก็บภาพ อาหาร และขนมอร่อยๆ แปลกๆ มานำเสนอกันอีกรอบใน “เมนูเด็ดเมืองใต้”

       
       เก็บงาม ตามแบบ ชนบท
       งามคลอง โค้งคด บอกบทเรื่อง
       ตลาดเก่า สามคลอง เชื่อมสองเมือง
       เที่ยวคลองแดน ร่วมประเทือง วีถีคลอง
      
       ประพันธ์โดย อ.นิธิ อนันตพงศ์

     
"น้ำแข็งบอก" หรือ "น้ำแข็งหมุน"
       
       ตลาดริมน้ำคลองแดน เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่สุดเขตของ 2 จังหวัดในภาคใต้ มีเพียงลำคลองเล็กๆ เป็นเส้นเขตแบ่งแดน นั่นก็คือ ระหว่าง ต.คลองแดน อ.ระโนด จ.สงขลา กับ ต.รามแก้ว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช จริงๆ แล้วแม่น้ำสายนี้ แบ่งเป็นลำคลอง 3 สาย คือ คลองระโนด คลองชะอวด และคลองปากพนัง ซึ่งเชื่อมต่อบรรจบกัน ณ จุดนี้ ที่ตลาดริมน้ำคลองแดน จึงมีสโลแกนขึ้นว่า คลองแดน “สามคลอง สองเมือง” ในส่วนของตลาดริมน้ำจะเปิดเฉพาะวันเสาร์ วันเดียวเท่านั้น เริ่มจับจ่ายกันได้ตั้งแต่ประมาณบ่ายสามโมง กว่าตลาดจะวายก็ สามทุ่ม

ขนมจาก      

ปลาทอดทรงเครื่อง
             
       นอกจากได้ชอป ได้ชิมแล้ว ยังมีการแสดงพื้นถิ่น อย่างมโนราห์ ให้ได้ชมกันระหว่างรับประทานอาหารอีกด้วย และมีการบรรเลงดนตรีไทยสดๆ กล่อมผู้มาเยือนตลอดจนตลาดปิด โดยเฉพาะคนใต้บ้านเรา ไม่ต้องไปเที่ยวไกลถึง อัมพวา หรือตลาดร้อยปีสามชุก ไปนครศรีธรรมราช หรือแวะมาสงขลา ก็เที่ยวตลาดริมน้ำแบบย้อนยุคได้เหมือนกัน
      

"ขนมปังโรตี" คือ ขนมปังห่อกล้วยหอม ชุบไข่ทอด ราดนมข้นหวาน
      

"ขนมปังโรตี" คือ ขนมปังห่อกล้วยหอม หรือไส้กรอกชีส ชุบไข่ทอด ราดนมข้นหวาน
      

"ก้างปลาทอด" ใช้ปลาโคบ หรือ ปลาหลังเขียว
      

"ปลาเส้น" มีทั้งแบบเค็ม หวาน (นำเนื้อปลาโคบมาทำเป็นเส้น)
      

ข้าวเหนียวหมู
             
       
       ตลาดริมน้ำคลองแดน เป็นการร่วมมือสร้างสรรค์ โดยชุมชน เพื่อชุมชน ตั้งอยู่ที่ทิศเหนือของ อ.เมือง จ.สงขลา ประมาณ 100 กม. และมีระยะทางจาก อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ประมาณ 100 กม. เช่นกัน คลองแดนจึงมีที่ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางระหว่าง จ.สงขลา กับ จ.นครศรีธรรมราช เดินทางไม่ยาก มีป้ายบอกตลอดทาง


       
       สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 128 ม.2 ต.คลองแดน อ.ระโนด จ.สงขลา คุณเกรียงไกร อันนตพงศ์ (ประธานชุมชน) โทร.08-9231-5281 คุณอภิชาต เหมือนทอง โทร.08-6958-2776 และ คุณสายัญห์ ชลสาคร หรือครูสายัณห์ โทร.08-1896-7352











หอยครกทะเล ตลาดรถไฟสงขลา เจ้าเก่า

ขายดี! จนหยอดไม่ทัน “หอยครกทะเล” เจ้าเก่าตลาดนัดรถไฟสงขลา

       หอยครกทะเล ตลาดรถไฟสงขลาเจ้าเก่า สร้างรายได้งามมาเกือบ 10 ปี ลูกค้าติดใจในรสชาติของความอร่อย เข้าคิวรอยาวเหยียด ชนิดที่เรียกว่าเตาไม่ทันจะร้อน แป้งไม่ทันหยอด เผยเคล็ดลับ กุ้ง หอย ปลาหมึก ต้องสด และใส่เครื่องปรุงเต็มพิกัด
            
       นายกิติทัศน์ นางจันทร์จิรา เลขะสม สองสามีภรรยา ชาวจังหวัดสงขลา เจ้าของร้าน “กิติทัศน์หอยครก” มาเปิดร้านขายหอยครกทะเล ในตลาดนัดรถไฟ เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก จนทำขายไม่ทัน เนื่องจากเป็นหอยครกทะเลเจ้าเก่า ที่มีการพัฒนารสชาติความอร่อย จนลูกค้าติดใจและได้รับการยอมรับจากลูกค้าตลอดมา แถมอัธยาศัยสองสามีภรรยาก็เป็นกันเองกับลูกค้า

             
       นางจันทร์จิรา เลขะสม เปิดเผยว่า สำหรับขั้นตอนการทำหอยครกทะเล หรือ เอาทะเลมาลงครก นั้นไม่ยาก แต่จะยากตรงที่จะต้องมีสูตรพิเศษที่จะต้องทำให้ลูกค้าติดใจ คือความอร่อย เนื่องจากเวลาทำจะมีลูกค้ามาคอยยืนดูตลอดเวลา จึงต้องทำอย่างเต็มที่ ปีนี้เข้าปีที่ 10 ที่ทำมา โดยมีการพัฒนาสูตรเรื่อยมา และใช้เทคนิคนำแป้ง น้ำมัน ใส่ขวดทั้งหมด เพื่อความสะดวกในการทำ
            
       สำหรับวิธีทำนั้น หลังจากเทน้ำมันลงในเบ้าครก ในขณะที่เตาร้อนจนได้ที่ จึงเทแป้งลงเบ้า ทิ้งไว้สักครู่จึงเริ่มใส่ส่วนผสมที่เป็นไส้ทะเล เช่น กุ้ง หอยแมลงภู่ ปลาหมึก พอร้อนจนได้ที่ก็เทไข่ที่เจียวแล้วทับหน้ารอให้สุก ใช้ช้อนแคะทีละฝา ตักใส่ใบตอง โรยพริกไทยและน้ำจิ้ม แป้งกรอบนอกนุ่มใน ก็จะได้หอยครกที่อร่อย

       
       สำหรับหอยครกทะเล ราคากล่องละ 20 - 25 - 30 บาท ซึ่งเป็นราคาเดิม ถึงแม้ว่าในช่วงนี้ราคาไข่ไก่ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้มากมีราคาแพงขึ้น แต่เพื่อคืนกำไรให้ลูกค้าก็ยังคงขายราคาเดิม

       
       สำหรับคุณลูกค้าพื้นที่ใกล้เคียงหรือ ต่างจังหวัด ผ่านมา จ.สงขลา ลองแวะไปชิม และอุดหนุน หอยครกทะเล เจ้าเก่ากันได้ ที่ตลาดนัดรถไฟ เขตเทศบาลนครสงขลา ทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่เช้า จนถึงเที่ยง หรือที่ชาวสงขลาเรียกกันว่า ตลาดอาทิตย์ นั้นเอง
      






       ภาพ/เรื่อง - ธวัช หลำเบ็ญส๊ะ

สงขลาระอุ! มือปืนควงเอ็ม 16 และอาก้า ถล่มยิงกำนันชื่อดังดับคารถกันกระสุน


 ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - สงขลาโหด! มือปืนควงอาวุธสงครามสาดกระสุนเกือบ 100 นัดถล่ม “กำนันชัย” และลูกน้องคนสนิทดับคารถกันกระสุน ตร.เชื่อปมสังหารเชื่อมโยงเหตุการเมืองท้องถิ่นและเรื่องส่วนตัว โดยก่อนหน้านี้ ลูกน้องคนสนิทของผู้ตายถูกลอบฆ่าไปแล้ว 2 ศพ
      
       เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ (23 ส.ค.) พ.ต.ต นริษฐ์ สุวรรณสะอาด ร้อยเวร สภ.สิงหนคร อ.สิงหนคร จ.สงขลา รับแจ้งเกิดเหตุยิงถล่มกันด้วยอาวุธปืนสงคราม เหตุเกิดบริเวณจุดยูเทิร์นหน้าร้านข้าวมันไก่ไพบูลย์ เส้นทางถนนสายสงขลา-ระโนด พื้นที่หมู่ 1 ต.ชิงโค อ.สิงหนคร จ.สงขลา

       
       หลังตำรวจรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ แค็บ รุ่นไฮแลนเดอร์ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ผต 368 สงขลา สภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามพรุนทั้งคัน ภายในรถพบผู้เสียชีวิต 2 ศพ ทราบชื่อคือ นายสิทธิชัย ชุมอิน อายุ 39 ปี หรือ “กำนันชัย” เป็นกำนัน ต.วัดจันทร์ อ.สะทิงพระ จ.สงขลา เสียชีวิตอยู่ตรงที่นั่งคนขับ และนายประสิทธิ์ ลิ้มจู้ อายุ 42 ปี เป็นสารวัตรกำนัน ต.วัดจันทร์ ลูกน้องคนสนิท เสียชีวิตอยู่ตรงเบาะหน้าข้างคนขับ
      
       โดยทั้งสองถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 อาก้า และ 9 มม. จนพรุนทั้งร่าง ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนทั้ง 3 ชนิด ตกอยู่รวม 80 ปลอก ทั้งนี้ รถคันดังกล่าวเป็นรถกระจกกันกระสุนทั้งคัน แต่ไม่สามารถต้านทานแรงกระสุนที่สาดเข้าใส่ได้ ขณะเดียวกัน ภายในรถยังมีกล้องวงจรปิดติดไว้หน้ารถด้วย

       
       จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายสิทธิชัย และนายประสิทธิ์ ได้ขับรถยนต์กระบะคันดังกล่าวมุ่งหน้ากลับบ้านพักใน อ.สะทิงพระ ระหว่างทางมีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 3 คน ขับรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นไทรทัน สีดำ ไม่ทราบทะเบียน ขับตามประกบ ก่อนใช้อาวุธสงครามทั้งอาก้า เอ็ม 16 และ 9 มม. ยิงถล่มเกือบร้อยนัด

       
       ส่วนสาเหตุ เบื้องต้นคาดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และการเมืองท้องถิ่น ซึ่งกำลังเร่งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คนร้ายใช้หลบหนี รวมทั้งภาพกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ภายในรถของผู้ตายเพื่อหาเบาะแสของคนร้าย
      
       ทั้งนี้ นายสิทธิชัย หรือกำนันชัย เป็นหนึ่งในกำนันคนดังใน จ.สงขลา โดยก่อนหน้านี้เคยถูกลอบยิงมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่รอดมาได้ ก่อนที่คู่อริซึ่งคาดว่าจะเป็นคนยิง ถูกยิงถล่มด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 จนเสียชีวิต ต่อมา สารวัตรกำนัน และผู้ใหญ่บ้านใน ต.วัดจันทร์ คนสนิทของกำนันชัย ได้ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต 2 ศพ เจ้าหน้าที่จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นเหตุเชื่อมโยงกัน




 

Featured Content Slider

Health

Support : Creating Website | Template | Template
Copyright © 2013. สงขลา News - All Rights Reserved
Template Created by gu Published by gu
Proudly powered by Blogger